สวน Ashikaga Flower Park ชมต้นดอกวิสทีเรีย (ดอกฟูจิ) อายุ 150 ปี ณ จ.โทชิงิ ประเทศญี่ปุ่น


สวนอาชิคางะ (Ashikaga Flower Park) เป็นสวนดอกไม้ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดโทชิงิ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถมาชมดอกไม้นานาชนิดได้ตลอดทั้งปี แต่สวนนี้จะมีไฮไลท์ในช่วงกลางเดือนเมษายนถึงปลายเดือนพฤษภาคม คือ การชมต้นดอกวิสทีเรียหรือดอกฟูจิสีม่วงขนาดใหญ่ ที่มีความเก่าแก่กว่า 150 ปี ซึ่งจะบานสวยกินพื้นที่ถึง 1,000 ตร.ม. และยังมีอุโมงค์ดอกวิสทีเรียสีขาวและเหลืองยาวกว่า 80 เมตรเลยทีเดียว


เมื่อมาถึงสวน Ashikaga Flower Park เราจะเจอหน้าทางเข้าสวนแบบนี้ค่ะ มีการจัดต้นต้นวิสทีเรียหรือฟูจิเล็กๆ ด้านหน้า แล้วก็มีประตูทางเข้าอยู่ซ้ายมือ ขวามือเป็นทางออก และมีคนตรวจตั๋วอยู่ตรงทางเข้าสวนค่ะ แต่เราจะเดินดุ่มๆ เข้าไปไม่ได้ ต้องซื้อตั๋วเสียก่อน


ที่ขายตั๋วก็ไม่ใกล้ไม่ไกล ติดกับทางเข้าด้านซ้ายมือจะมีช่องซื้อตั๋วที่มีคนยืนเข้าแถวกันค่ะ ส่วนราคาตั๋วนั้นติดป้ายอยู่ตรงเสาด้านขวามือในรูปค่ะ ช่วงนี้เป็นช่วงยอดฮิตของสวนนี้ ราคาเข้าจะแพงที่สุดคือ 1,700 เยน (แพงที่สุดเท่าที่เคยเข้าสวนดอกไม้เลย)


ไปซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้วเราก็จะได้ตั๋วใบเล็กๆ และแผ่นพับมาค่ะ ด้านในมีแนะนำไฮไลท์ของสวน คือดอกวิสทีเรียว่ามีที่มาอะไรยังไง ในส่วนของบัตรเล็กๆ นั้นจะเห็นได้ว่ามีตัวเลข 200 เยนติดอยู่ นั่นหมายถึงว่า หากคุณมาสวนในครั้งต่อไปแล้วยื่นบัตรส่วนนี้ จะได้ส่วนลดอีก 200 เยนนั่นเองค่ะ


เมื่อผ่านประตูทางเข้าสวน Ashikaga Flower Park มาแล้วจะเจอโซนขายของฝากที่เต็มไปด้วยดอกวิสทีเรีย ม่วงมากกก ทั้งรสชาติดอกวิสทีเรียสาเก เครื่องหอม เยอะแยะมากเลย สามารถเลือกซื้อกันได้ค่ะ แต่แนะนำให้ซื้อตอนก่อนออกจะดีกว่าจะได้ไม่ต้องถือให้เมื่อยเนอะ


ผ่านโซนของฝากอันล่อตาล่อใจเราแล้วก็เจอกับด้านในสวนเสียที คนเยอะ แต่ว่าไม่แออัดค่ะ ทุกส่วนเต็มไปด้วยต้นไม้ ซึ่งสวนแห่งนี้จะอยู่ติดกับเชิงเขาที่เขียวชอุ่มทำให้รู้สึกว่าเป็นสวนที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติมาก


ด้านขวามือจะเป็นร้านขายอาหาร ร้านไอศกรีม และที่นั่งพักทานอาหารตามสะดวก ใครที่ไม่อยากต่อคิวยาวๆ ก็ห่อข้าวกล่องมาได้ไม่ว่ากัน นอกจากนี้ด้านซ้ายมือที่เป็นโซนของต้นไม้ ก็มีต้นกล้า และเมล็ดพันธุ์ของต้นวิสทีเรียขายด้วยนะคะ เสียดายเราไม่ได้ซื้อกลับบ้านด้วย อยากเอาไปปลุกให้แม่ดู อิ อิ นอกจากนั้นก็มีส่วนของไม้ดัดที่กำลังออกดอกตามรูปทรงซุ้มประตูสวยงาม และยังสามารถเข้าร่วมกิจกรรมถ่ายรูปกับดอกวิสทีเรียได้ฟรีอีกด้วย สนุกสนาน สวยงามมากค่ะงานนี้

หลังจากผ่านโซนต้นกล้าดอกไม้นานาชนิดแล้ว ก็จะเจอกับส่วนที่เป็นดอกไม้พันธุ์ต่างๆ ที่กำลังแข่งกันออกดอกอย่างสวยงามค่ะ และจะเจอกับต้นวิสทีเรียขนาดเล็ก สูงประมาณ 2 เมตร กำลังออกดอกสวยทั้งสีม่วงและสีขาว ขยายกิ่งก้านยาวเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เมตรเห็นจะได้ เราสามารถเข้าไปชมใกล้ๆ ได้ แต่ห้ามจับนะคะ




ตัวอย่างดอกไม้นานาชนิดที่เรียงรายไปตามทางเดินที่เราเดินผ่านค่ะ เวลาลมพัดมาทีก็จะได้กลิ่นดอกไม้ลอยมาตามลม หอมชื่นใจ บอกไม่ถูกค่ะ เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยได้สัมผัสกันในการใช้ชีวิตญี่ปุ่นแบบนี้นะคะ สำหรับดอกไม้ที่มีกลิ่นแบบธรรมชาติ ยิ่งในเมืองยิ่งหาได้ยากค่ะ


เมื่อเดินผ่านสวนที่มีแต่ดอกไม้เล็กๆ ไปแล้ว เราก็เจอต้นวิสทีเรียนี้ค่ะ คือใหญ่มากกก ไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้ เนื่องจากเราไม่ได้ดูรีวิวอะไรมาก่อนเลย รู้แค่ว่ามีสวน Ashikaga Flower Park มีดอกวิสทีเรียให้ชม เราก็มาค่ะ (เชื่อคนง่ายจริ๊งงง) แล้วพอมาเจอแบบนี้ ใบ้กินไปเลยล่ะค่ะ คุ้มค่ากับราคาเข้าสวนมากจริงๆ ระย้าของดอกวิสทีเรียยาวและแผ่ขยายกว้างมากกก


และเมื่อมองขึ้นไปด้านบนเราก็จะเจอกับความสดใสของท้องฟ้าและดอกวิสทีเรียสีม่วง ที่มาพร้อมกับกลิ่นหอมๆ ชื่นใจสุดๆ แบบนี้ค่ะ


 ใกล้เข้ามาอีกนิดกับดอกวิสทีเรียแบบใกล้ๆ เป็นดอกเล็กๆ น่ารักสวยมาก กลีบกลมๆ มีความตะมุตะมิเบาๆ แค่ตอนถ่ายรูปมุมนี้อาจจะปวดคอไปหน่อย เอิ๊กกก

ภาพเมื่อสักครู่คือต้นใหญ่ต้นแรก หลังจากเดินวนรอบครบแล้ว ก็เดินมายังต้นที่สองค่ะ ระหว่างทั้งสองต้นก็มีพื้นที่ให้เราได้เดินเล่นบนทางเดินกว้างที่มุ่งด้วยหลังคาดอกวิสทีเรียทั้งหมดซึ่งเป็นจุดที่ทั้งสองต้นมาบนจบกันนั่นเอง


 นี่เป็นอีกต้นหนึ่งที่เรากล่าวถึงเมื่อสักครู่ค่ะ ต้นเล็กกว่านิดหน่อย แต่ด้านหน้ามีศาลเจ้าเล็กๆ ให้หยอดเหรียญขอพรด้วย ซึ่่งทั้งสองต้นนี้คาดว่าเป็นต้นเก่าแก่ที่เขาพูดถึงกันค่ะ ซึ่งมีอายุถึง 150 ปีเชียวนะคะ! แก่กว่าแอดหลายเท่าอยู่ อิ อิ

ส่วนต้นนี้เป็นคนละชนิดกับเมื่อสักครู่ค่ะ เป็นต้นที่บานตั้งแต่ปลายเมษายนถึงต้นพฤษภาคม จะมีความแตกต่างกันตั้งแต่ลักษณะกลีบดอก การตั้งช่อ และสีของดอกค่ะ 

ช่วงเปิดไฟก็ดูอลังการไปอีกแบบ



 อุโมงค์ดอกวิสทีเรียสีขาวจะบานสะพรั่งช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่วนดอกสีเหลืองนั้นจะบานเต็มที่ช่วงต้นไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมค่ะ (ช่วงที่เรามานี้เป็นตอนต้อนเดือนพฤษภาคม)

ในสวนก็มีที่นั่งพักจิบน้ำชา ทานข้าวชมดอกไม้ เอาไว้บริการนักท่องเที่ยวกันค่ะ ที่นั่งริมน้ำ กินบรรยากาศแบบนี้เป็นสวรรค์สำหรับคนที่มาเที่ยวเลยค่ะ (ถ้าไม่นับแดดร้อนๆ)


 ผ่านโซนต้นวิสทีเรียขนาดใหญ่เข้ามาแล้ว ยังสามารถเดินเข้าไปได้อีกค่ะ และยังมีกำแพงวิสทีเรียขนาดใหญ่อยู่ด้านใน รวมทั้งร้านค้าที่ขายสินค้าต่างๆ เกี่ยวกับดอกไม้ในสวนนี้ ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงของวิสทีเรีย สตอรี่ สินค้าต่างๆ ก็จะออกแนวโทนสีม่วงค่ะ

อีกด้านติดๆ กันนั้นก็มีสวนกุหลาบที่ยังไม่บานอยู่เต็มสวน และอีกไม่นานก็จะบานเต็มสวนให้เราได้ชมกัน ช่วงเวลาที่บานเต็มที่ของดอกกุหลาบคือตอนกลางเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายนนะคะ

หลังจากชมดอกไม้หลักแล้ว ก็มาชมดอกไม้ชนิดอื่นๆ กันบ้างนะคะ ซุ้มดอกไม้สวยๆ ก็มีให้เดินเล่น ท่ามกลางบรรยากาศสดใสแบบนี้ ดอกไม้ใบหญ้า แถวนั้นก็ส่งกลิ่นอ่อนๆ ทำให้อารมณ์หม่นๆ ของโตเกียวที่ติดตัวเรามาสลายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะค่าาา


ปิดท้ายด้วยซอฟครีมรสดอกวิสทีเรียกันค่ะ ออกแนวรสหวานๆ แล้วก็มีกลิ่นของดอกไม้ เนื้อซอฟต์ครีมสีม่วงกำลังสวย แต่ละลายเร็วไปนิด ราคา 400 เยน รสวนิลา 350 เยน ราคาแพงหน่อยแต่ว่าขนาดก็ใหญ่กว่าซอฟต์ครีมที่เราเคยทานค่ะ


ที่มา : japankakkoii.com

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พาเที่ยว "พิพิธภัณฑ์ราเมง Shin Yokohama Ramen Museum" ต้นตำรับแห่งราเมง ประเทศญี่ปุ่น

เที่ยว "ฮาโกดาเตะ" ชมวิวที่ "ป้อมดาวโงเรียวกาคุ" (Fort Goryokaku Tower)

ชมดอกไอริสและธรรมชาติในเมืองใหญ่ที่ Meiji Shrine Inner Garden! กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น